ประกันภัยนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเป็นอย่างมากสำหรับการดำรงชีวิตของคนเราในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันนี้ประกันภัยก็แตกแขนงออกเป็นหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นประกันอุบัติ ประกันสุขภาพ ประกันมะเร็ง ประกันรถและประกันประเภทอื่นอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งในวันนี้เราจะมาพูดถึงประกันประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญกับการใช้รถใช้ถนนของเราเป็นอย่างมากนั่นคือ ประกันรถ และเนื่องจากกระแสคนขับรถบิ๊กไบค์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นวันนี้เราจึงจะมาพูดถึงประกันรถจักรยานยนต์ที่เป็นประกัน บิ๊กไบค์ นั่นเอง ซึ่งประกันบิ๊กไบค์นั้นก็แบ่งออกเป็นหลายประเภทโดยความคุ้มครองของประกันบิ๊กไบค์แต่ละประเภทก็จะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน
ประเภทของประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์
- ประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 1 สำหรับประกันประเภทนี้นั้นเป็นประกันมอเตอร์ไซค์ที่ให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งคุ้มครองความเสียหายได้ครอบคลุมกว่าประกันมอเตอร์ไซค์ชั้นอื่น ๆ กล่าวคือคุ้มครองแทบจะทุกอย่างที่เกิดกับรถมอเตอร์ไซค์ โดยประกันประเภทนี้บริษัทประกันจะรับเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเครื่องยนต์ 250 ซีซีและมีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเหมาะกับการทำประกันบิ๊กไบค์มากที่สุด
- ประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 2+ ประกันประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 1 ต่างกันที่ประกันชั้น 2+ นั้นจะคุ้มครองความเสียหายของรถเอาประกันเฉพาะเมื่อมีคู่กรณีหรือชนกับรถด้วยกันเท่านั้น โดยเงื่อนไขในการรับประกันคือจะรับเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์หรือรถบิ๊กไบค์ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี
- ประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 3+ สำหรับประกันประเภทนี้ก็จะให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 2+ แต่ต่างกันตรงที่ประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 3+ นั้นจะไม่คุ้มครองกรณีรถมอเตอร์ไซค์หาย รถบิ๊กไบค์หาย หรือไฟไหม้รถเหมือนกับประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 2+ โดยประกันประเภทนี้สามารถทำได้ทั้งรถมอเตอร์ไซค์แบบธรรมดาและรถบิ๊กไบค์ที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี
- ประกันรถมอเตอร์ไซค์ชั้น 3 ประกันประเภทนี้จะคุ้มครองเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ของคู่กรณีเท่านั้น จึงทำให้ประกันรถมอเตอร์ไซค์ประเภทนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่ากับประกันรถมอเตอร์ไซค์ประเภทอื่น ๆ แต่ว่าประกันประเภทนี้สามารถรับประกันรถมอเตอร์ไซค์ได้ทุกประเภทและไม่จำกัดอายุรถเหมือนกับประเภทอื่น
หากใครที่ขับบิ๊กไบค์แล้วมีความสนใจทำประกันก็สามารถเลือกประกันรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่เหมาะสมกับความต้องการ โดยปัจจัยหลักในการเลือกซื้อประกันคือดูความคุ้มครองว่าตอบโจทย์กับการใช้งานของเราหรือไม่ ดังนั้นเราต้องเลือกประกันที่มีความคุ้มครองตรงตามการใช้งานให้มากที่สุด